วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แพนด้ากูเกิล(PandaGooGle)


แพนด้ากูเกิล

ขึ้นชื่อว่าแพนด้าแล้วทุกคนอาจจะคิดว่าน่ารักแต่อีกมุมหนึ่งหากตัวคุณนั้นปฏิบัติไม่ดีเที่ยวก๊อปเนื้อหาบทความต่างๆมาแปะในเว็บคุณล่ะก็ แพนด้าของกูเกิ้ลตัวนี่ก็จะไม่น่ารักอย่างที่คิดสำหรับนักCopyทั้งหลาย

แพนด้าของกูเกิ้ลตัวนี้คืออะไร?

เป็นอัลกอลิทึม(algorithm) ที่ทาง GooGle นั้นได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อจัดการลด Content Farm ของพวกนักปั่นเว็บไซต์ต่างๆโดยอาศัยการ Copy ข้อมูลมาแปะไว้ในเว็บไซต์ของตัวเอง หรือเรียกว่าพวก BlackHat ทำการวิเคราะห์เหล่านั้นว่ามีเนื้อหาสาระที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่หากเนื้อหาเหล่านั้นได้Copyเนื้อจากเว็บไซต์มาแล้วล่ะก็ PandaGooGle  ก็จะจัดการ สแปมเว็บไซต์  ประเมินเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสาระมีคุณภาพต่ำไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ Search ข้อมูล สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของเขียนบทความด้วยตัวเองแล้วนั้นแพนด้าตัวนี้ก็จะน่ารักสนับสนุนทางด้านการSearch ของคุณให้ติดอันดับที่ดีขึ้น

ฉะนั้นแล้วใครที่ยังชอบCopy บทความจากเว็บไซต์อื่นเค้าล่ะก็เลิกเหอะครับมันคุ้มไหมเมื่อคุณมีเว็บไซต์อยู่20หน้าแล้วผลการค้านกลับมีเพียงแค่5หน้าทั้งที่คุณCopy มาUpdate อยู่บ่อยๆหันมานั่งอ่านคิดวิเคราะห์บทความด้วยตนเองดีกว่าครับผม

ซึ่งแพนด้าตัวนี้ทำให้ผมมีความคิดที่อยากเขียนบทความตามความเข้าใจของตัวเองมากยิ่งขึ้น  





วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สะพานบอท


สะพานบอท คือ การสร้างช่องทางเพื่อให้บรรดา Rodots ของ Search Engine ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google มาพบเจอ และ นำ เว็บไซด์ ของคุณนั้นไปเก็บไว้ที่ SERPs  ( Search Engine Result Pages )

สะพานบอททำอย่างไรการทำสะพานบอทนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แตกต่างกันไป

1. landing page

  คือ การสร้างเพจขึ้นมาเพื่อรวบรวม Keyword ไว้แล้วรอให้ Rodots มาเก็บ  บางคนก็อัด Link ไว้มันทุกๆ Keyword เลย อืม... วิธีนี้เมื่อก่อน ฮิต มากครับ แต่ผมว่าถ้าจะทำแบบนี้ในตอนนี้ต้องระวัง Google Panda มาเก็บนะครับ วิธีของผมคือ นำหลักการของ landing page มาใช้ คือเวลาผมเขียนบทความ ผมจะพยายามแทรก Keyword ไว้ในบทความ รวมถึงเนื้อหาตอน เกริ่น ที่จะใชว์ในหน้าแรกด้วย ลองสังเกตุกันนะครับ แต่ถ้าจะแทรก Keyword ลงไปก็อย่าให้เยอะเกินไปจนผิดสังเกตุ

2. ลายเซ็นในเว็บบอร์ด 

ข้อนี้นอกจากที่เราจะได้ BackLink มากมายแล้วเรายังได้ทำ สะพานบอท Keyword ไปในตัวด้วย เช่น เว็บบอร์ดอะไร ก็ตาที่เราเล่นอยู่บ่อยๆ เราเอาลายเซ็นไปใส่เช่น  กวดวิชา  แล้วใส่ Link เข้าไปในนั้น ทุกๆ กระทู้ที่คุณโพส หริอ เคยโพสไป จะมี Link ของคุณ ขึ้นทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ก็พยายามไปใส่ในเว็บที่สอดคล้องกับเว็บคุณด้วย

3. โพสในเว็บบอร์ด

 ข้อนี้น่าจะถนัดกันนะครับก็โปรโมทเว็บแบบเดิมๆ ที่ทำกันนั่นแหละครับแต่ต้องทำอย่างพองาม และอย่าลืมใช้ Social Media ให้เป็นประโยชน์ด้วย


4.RSS Feed สร้าง RSS Feed

  ขึ้นมาจากนั้นไปสมัคร blog อะไรก็ได้ แต่สำคัญตรงที่คุณต้องเข้าไปอัพเดทมันบ่อยๆ และเขียนบทความที่ สอดคล้องกับเว็บไซด์ แต่ต้องไม่เอาบทความในเว็บไซด์ไปใส่ แต่เอา RSS Feed ไปใส่อาจจะบอกว่าเป็นแหล่งความรู้ก็ได้ และ หากใครเห็นว่า บทความ หรือ ข้อมูลคุณดีเค้าก็จะนำ RSS Feed ของคุณไปแปะ ไปเรื่อยๆ และคุณก็จะได้ BlackLink และสะพานบอทเพิ่มเอง


แหล่งความรู้โดย http://seo.clisk.co.th

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฺBackLink ความหมาย


ความหมายสั้นๆ ก็คือสมมติว่ามีเว็บไซค์แล้วลิงค์ของเว็บเราไปอยู่ในเว็บของคนอื่นแล้วคนอื่นๆก็สมารถคลิ๊กลิงค์นั้นมายังเว็บเราได้ สรุปก็คือลิงค์ของเว็บเราบนเว็บคนอื่นครับ

BackLink สำคัญอย่างไร

เรื่องนี้ผมคืออธิบายนะครับว่า ปัจจัยหลักเลยที่จะทำให้เว็บไซด์เราดังขึ้นมา และ ติดอันดับนั้นใน Search Engine ค่ายต่างๆ โดยเฉพาะ Google สิ่งสำคัญอย่างนึง ก็คือการทำ BackLink นี่แหละครับ โดย Bot ของ Search Engine ทั้งหลายจะจัดอันดับ เพื่อให้คะแนน และ คุณภาพของเว็บไซด์จาก BackLink จำนวมาก นั้นแหละครับ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในบทความก่อนๆ คือ BackLink ของคุณต้อง เป็น BackLink ที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน อืม..ประมาณว่า สมมุติคุณทำเว็บเกี่ยวกับการเรียนการสอน แต่กลับมามี link มาจากเว็บรวมรูป Search Engine ก็จะมองว่าเราทำ Spam BackLink  เพราะมันดูไม่เป็นธรรมชาติ เราควรมี BackLink ที่มาจากเว็บที่มีเนื้อหาสอดคล้องเก็บเว็บของเรา จะทำให้ BackLink เป็น BackLink ที่เป็นธรรมชาติ


BackLink ต้องห้าม

 ข้อนี้สำคัญมาก การที่มี BackLink มากๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีก็จริงอยู่แต่หากคุณมี BackLink จากเว็บที่ไม่ควรมีแล้วล่ะก็ต่อให้เป็นเว็บไซด์ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเว็บของเราแค่ไหนก็ตาม แววโดนแบนก็จะมาที่เว็บคุณแน่นอน แล้วเว็บอะไรล่ะที่ห้ามไปมี BackLinkด้วย เว็บที่เราห้ามไปมี BackLink ด้วยอย่างเด็ดขาด ก็คือเว็บที่ถูกแบนจาก Search Engine นั่นเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บที่จะมาแลก link กับเรา หรือเว็บที่เราจะโพสต่อไปนั้นเป็นเว็บที่ถูก แบน รึปล่าว ? เราสามารถ Check ได้ครับ โดยเข้าไปที่ http://www.isbanned.com/ แล้วลองพิมพ์ URL ของเว็บที่ท่านกำลังจะคบค้าสมาคมด้วยดูนะครับว่าควรจะ คบกับเว็บไซด์เหล่านั้นด้วยดีมั้ย และสำหรับคนที่ทำ BlackLink มาเยอะแล้ว แลก link มาเต็มเว็บแล้วให้เข้า http://www.bad-neighborhood.com/text-link-tool.htm เลยครับเพื่อเช็คทีเดียวทั้งเว็บ  ว่าเราไปมีเว็บอะไรรึเปล่าที่โดนแบนไมjควรคบค้าสมาคมด้วย จะได้รีบเอาออกอย่างทันถ่วงทีนะครับ

อย่างไรก็ดี การหมั่นอัพเดทเว็บไซด์บ่อยๆ ด้วยเนื้อหาของท่านเองไม่ก๊อบใคร Unique Content นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ดีครับ เพราะว่า แม้เราจะมี BackLink เยอะแค่ไหนก็ตามหากคนคลิกเข้ามาพบเนื้อหาไม่น่าสนใจ และ ไม่อัพเดท บ่อยๆ คนก็ไม่เข้ามาอยู่ดีครับ ควรหมั้นอัพเดทContent ให้สอดคล้องกับ BackLink ที่เป็นธรรมชาติ แล้วเว็บคุณก็จะมีอันดับที่ดีขึ้นเองครับ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อผิดพลาดทั้ง 10 ของการทำ SEO


1  .Targetting the wrong keywords


การเลือกใช้ keyword ที่ผิดเป็นข้ อที่นักพัฒนาเว็บผิดพลาดกันมาก แม้กระทั่งผู้ชำนาญด้ าน SEO ยัง
อาจมองข้ามเช่นกันส่วนใหญ่เรามักจะทำเว็บโดยตั้งชื่อเว็บเป็นชื่อตัวเองหรื ออาจเป็นอะไรก็ได้ ที่ตัวเองชอบ ซึ่งก็ไม่ผิดแต่ในเชิง SEO  อาจส่งผลเรื่องการติดอันดับเว้นแต่ว่าเว็บของคุณจะโด่งดังแล้วสังเกตง่ายๆเวลา
คุณ search หาอะไรก็ตามเว็บไซต์ที่ชื่อเป็น keyword มักจะอยู่อันดับต้นๆเสมอนอกจากการตั้ง keywordที่
ถูกต้องแล้วต้องนำไปวิเคราะห์ตลาดด้วยควรเอา keyword ที่มี การแข่งขันกันน้อยๆ จะทำให้เว็บของคุณขึ้นอันดับได้เร็วขึ้น

2 . Ignoring the Title tag


การเพิกเฉยไม่สนใจเขียน title อาจทำให้ติดอันดับยาก.. เพราะ title เป็นส่วนที่สำคัญมากส่ วนใหญ่
searchengine จะมองมาที่โดเมนและ title ก่อนเพราะเป็นการบอกว่าเนื้อหาในเว็บของคุณเกี่ยวกับอะไรถ้า
ไม่มีอะไรบอก search engine ก็ยากที่เว็บไซต์ของคุณจะขึ้นอันดับง่ ายๆ การเขียน title ที่ดีควรมีkeyword ด้วย

3. A Flash website without a html alternative


เว็บไซต์ที่ทำด้ วย flash  ดึงดูดผู้ใช้เว็บไซต์มากแต่ไม่ใช่สำหรับ spider ของ search engine  เพราะไม่
ชอบ flash และ ไม่สามารถอ่าน flash ได้ดี ดีที่สุดควรทำเว็บแบบ html ธรรมดา

4. JavaScript Menus


search engine ไม่ค่อยอ่านหน้าเว็บที่เป็น JavaScript ..วิธีการแก้ไขก็คือควรทำ link ใน html ของคุณ
ไปอ่าน JavaScript ต่างหาก

5. Lack of consistency and maintenance


เว็บขาดการดูแลและเอาใจใส่ …  ควรมีความสม่ำเสมอในการพัฒนาเว็บไซต์ เช่ น อัปเดตข้อมูลให้
น่าสนใจสำหรับผู้อ่านจะสังเกตว่าอันดับใน search engine ของคุณเปลี่ยนแปลงทุกวันถ้าเราหยุดอัฟเดตเว็บแค่ ช่ วงเวลาหนึ่งมันจะท าให้ เว็บเราตกอันดับไปไกล.. เพราะฉะนั้นก็คิดซะว่าการที่ทำเว็บไซต์ ขึ้นมาสักเว็บ หมายถึงว่าคุณได้ท าธุรกิจอีกอันหนึ่งแล้ว ก็ต้องดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นธุรกิจที่ดีได้

6. Concentrating too much on meta tags


คนส่วนใหญ่มักจะเพ่งไปที่การทำ meta tage (title, keyword, title description) ก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ ว
แต่การท า SEO ที่มุ่งแต่เพียง meta tag อย่างเดียว ไม่ท าให้ขึ้นอันดับดีได้เสมอ.. มีอีกหลายๆอย่างที่คุณควรให้ความสำคัญโดยเฉพาะเนื้อหาที่มีคุณภาพ และ backlink

7. Using only Images for Headings


หลายคนคิดว่าการใช้เพียงรูปภาพและเขียนหัวข้อที่ดึงดูดจะทำให้ คนเข้าเว็บได้มาก ก็ถูกต้องแต่
เข้ามาแล้วจะกลับมาชมอีกหรือไม่ ไม่แน่เพราะถ้าไม่มีเนื้อหาอะไรเลย ก็เหมือนเป็นเว็บไซต์ร้างๆอีก1เว็บ เว็บไซต์ที่ดีมักจะมีแฟนๆเข้ามาติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ.. อี กอย่าง search engine จะอ่าน text เป็นหลักด้วย

8. Ignoring URLs


ไม่สนใจโดเมนหรือ sub โดเมน .. อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า search engine จะมองมาที่โดเมนและ title ก่อน การใช้ keyword ลงไปในโดเมนและsub โดเมนก็สำคัญเช่นกัน

9. Backlink spamming


search engine ใหญ่ ๆ อย่าง Google เน้นเรื่อง backlink ซึ่งเป็นการบอกว่ า เว็บไซต์นั้ นมีเนื้อหาดี จึงมี
backlink เยอะไม่แปลกที่จะมีคนทำเว็บหลายคนที่ต้องการได้ backlink เร็วๆ จึ งพยายามโกงด้ วยวิธีต่ างๆ ซึ่งไม่เป็นการดีเลย ..ถ้ า search engine  จับได้เว็บไซต์จะโดนแบนทันที เพราะฉะนั้ นพยายามทำ quility  backlink ดีทีสุดโดยเน้นเนื้อหาดีๆมีคุณภาพจะได้ backlink เองธรรมชาติ

10. Lack of keywords in the content


ขาดการใช้ keyword ในเนื้อหาของเว็บไซต์ มี search engine หลายที่ที่เน้นเรื่อง keyword และการ
ใช้ keyword  ในเนื้อหาจะทำให้หน้าเว็บของเนื้อหานั้ นๆ สามารถปรากฎในผลลัพธ์การค้นหาจากkeyword นั้นได้
กล่าวโดยสรุป ความผิดพลาดส่วนใหญ่ คือการที่เน้นทำ  SEO  ในทางเดียวเกินไป ซึ่งในความเป็นจริ ง
การทำ SEO ในทุกกระบวนการสำคัญทั้งหมดทั้งการใช้ keyword ให้ถูกต้องการทำเว็บให้น่าสนใจ และดูแล
เนื้อหาโดยเฉพาะการทำเนื้อหาที่มีคุณภาพเพราะถ้าคุณมีเนื้อหาคุณภาพแล้วคนอื่นๆ จะนำเรื่องของคุณไป
แปะที่เว็บของเค้ าเองโดยมี linkของเราไปด้วย.. ซึ่งคุณจะได้ backlink  โดยธรรมชาติและมหาศาล เว็บไซต์
ของคุณจะอยู่อันดับต้นๆของ search engine ได้อย่างภาคภูมิและมั่นคงอย่างแน่นอน

แหล่งข้อมูล http://website.jajar.com/


วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Web Browser ความหมาย



เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ

ประโยชน์ของ Web Browser

สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ อย่างสวยงามมีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ และระบบมัลติมีเดียต่างๆ ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบัน web browser ส่วนใหญ่จะรองรับ html 5 และ อ่าน css เพื่อความสวยงามของหน้า web page

รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

1. Microsoft Internet Explorer ไม่ต้องแนะนำก็รู้จักกันอยู่แล้ว
2. Google Chrome โปรแกรมน้องใหม่จากค่ายยักษ์ใหญ่ระดับโลก Google.com หน้าตาของโปรแกรมไม่เหมือนใคร สนใจคงต้อง download ไปลองใช้งานกันดูครับ
3. FireFox ค่ายนี้มาแรง แซง Internet Explorer ไปหลายขุม โปรแกรมขนาดเล็ก แต่ต้องเรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว จริงๆ พร้อมมีโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมอีกมากมาย
4. Opera อีกหนึ่ง Browser มาแรง น้องๆ FireFox เลย
5. Safari ต้องลอง สำหรับ Browser ตัวนี้ เนื่องจากผู้ผลิตคือ Apple คู่แข่งคนสำคัญสำหรับ Microsoft
6. Crazy Browser เปิดได้หลายๆ เว็บในหน้าเดียวกัน แต่ต่างจาก browser ตัวอื่น อีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าจับตามอง
7. Avant Browser รองรับการทำงานหลากหลายภาษา
8. Maxthon Browser เว็บ browser ที่มีระบบ security มากมาย อีกหนึ่งเว็บที่น่าจับตามองมาก ๆ
9. Konqueror หลากหลาย feature ของโปรแกรมที่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ
10. NetScape Browser  : โปรแกรมเบราเซอร์คู่แข่งของ IE อีกหนึ่งตัวครับ สามารถการันตีถึง ความสามารถที่สุดยอดของโปรแกรมนี้ ได้ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการอ่านภาษา HTML , JAVA Script , JAVA Applet ทั้งสมบูรณ์และครบเครื่องน่าใช้ดีครับ

11. Plawan Browser ของคนไทย ต้องสนับสนุนกันด้วยน่ะครับ มีระดับป้องกันการใช้งานสำหรับเด็กๆ ด้วย น่ารัก น่าใช้มาก






Google Glasses (เจ๋งจริงๆ)


Google Goggles



SEM คือ?


SEM ย่อมาจากคำว่า Search Engine Marketing เป็นการผสมคำกันระหว่างคำว่า Search Engine หรือ เครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต และคำว่า Marketing หรือการตลาด ดังนั้น SEM หรือ Search Engine Marketing จึงหมายถึง การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต
การทำ SEM เป็นวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย เนื่องจากในการค้นหาข้อมูลในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้ Keyword (คีย์เวิร์ด) เป็นตัวกำหนดขอบเขต
เมื่อเราป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!


การทำ SEM (Search Engine Marketing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1. SEO (Search Engine Optimization) หรือการโปรโมทเว็ปไซต์ คือ การเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในส่วนของผลการค้นหาทั่วไปในหน้า Search Result Page โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฏของ Search Engine นั้นๆ
2. PPC (Pay Per Click) คือ ส่วนของพื้นที่โฆษณาซึ่งอยู่ในหน้า Search Result Page เช่นกัน แต่ต้องจ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊กเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ PPC มีข้อแตกต่างกับ SEO ตรงที่สามารถแสดงผลในลำดับต้นๆได้ง่ายและรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างในเว็ปไซด์ เพียงแค่ประมูล Keyword ที่ต้องการมา เว็บไซต์ก็สามารถแสดงอยู่ในอันดับต้นๆได้












วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

SEO คืออะไร?


SEO เป็นคำย่อ มาจากคำว่า "Search Engine Optimization" หมายถึงการปรับแต่งเวปไชต์ โปรโมทเวปไชต์ ของเรา ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด จากผลการค้นหาผ่าน Search Engine เจ้าต่างๆ เช่น Google , Yahoo , bing ฯลฯ ด้วย keyword ที่เราต้องการ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเวปไชต์ ธุรกิจ สินค้าและบริการของเรา โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา(เท่าที่จะทำได้)
โดยเป้าหมายการทำ SEO คือให้เวปไชต์ของเราติดอันดับดีๆ ใน keyword ที่เราต้องการ ซึ่งอันดับที่ดีนั้นก็เข้าใจกันว่า คือในหน้าแรกของ Search Engine หรืออยู่ใน 10 อันดับแรกที่คนค้นหาและมีโอกาสคลิกเข้ามาชมเวปไชต์ของเรามากที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทุกคนต่างก็ต้องการที่จะให้เวปไชต์ของตนอยู่ในอันดับต้นๆด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยังต้องใช้ความรู้ในการทำเวปไชต์ ให้ถูกหลักการทำ SEO ที่ดี มีความเข้าใจในอัลกอลิธึ่มของ Search Engine แต่ละแห่งที่แตกต่างกันด้วย ซึ่ง Search Engine แต่ละแห่ง ก็มีการปรับเปลี่ยนอัลกอลิธึ่มของตัวเองอยู่ตลอดเวลา(และแน่นอน เป็นความลับ)
นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมจึงมีบริการรับทำ seo เกิดขึ้น และทำไมจึงต้องมีการการันตีคืนเงิน เพราะถึงแม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ keyword คู่แข่ง เวปไชต์ มาเป็นอย่างดี ก็ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าจะสำเร็จแน่นอนนั่นเอง แต่อาศัยประสบการณ์ที่สะสมมาทำให้มั่นใจได้ว่า โอกาสสำเร็จจะมีอยู่สูง และพร้อมการันตีความสำเร็จให้กับผู้ใช้บริการทุกท่าน


SEO แบบ of pageและ on page


SEO ทั้งสองแบบนั้นคือการปรับแต่ง SEO ที่อาศัยปัจจัยภายใน(Onpage) และ ภายนอก(Offpage)
นั่นเอง… คำพวกนี้ หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยฟังผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจ ว่ามันคืออะไรกันแน่ หากเป็นแบบนั้น ก็ลองมาดูคำอธิบายที่ละเอียดขึ้นมาอีกหน่อยกันดีกว่า
การปรับแต่ง SEO โดยอาศัยปัจจัยภายใน (SEO On-page) ก็คือการใช้ทุกสรรพสิ่งที่เราสามารถ Control ได้ในเว็บไซต์ของเราเองมาช่วยให้อันดับ (Ranking) ของผลลัพธ์ในการ search ดีขึ้นนั่นเอง ผู่อ่านอ่านหลายท่าน “อาจจะถามว่าแล้วอะไรบ้างล่ะที่เรา controlได้ในเว็บไซต์เรา?” ซึ่งคำตอบของคำถามนั้่นก็ตัวอย่างเช่น เนื้อหาภายในเว็บชื่อหัวเรื่องของหน้าเว็บ (title tag), คำอธิบายหน้าเว็บ (meta description ถึงในปัจจุบันไม่มีผลกับอันดับแล้ว แต่มีผลกับการ user ในการ click เลือกผลลัพธ์)การใช้ link ที่เชื่อมไปยังหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บเรา internal linking), ชื่อโดเมน (domain name), ชื่อไฟล์ (file name), และอื่น ๆ ที่เราสามารถปรับแต่งได้เอง ในเว็บไซต์ของเรา

ในทางตรงกันข้ามการปรับแต่ง( SEO Off-page) ก็คืออาศัยปัจจัยภายนอกมาทำให้อันดับของเว็บเราดีขึ้น เช่น การเพิ่ม link จากเว็บอื่นๆให้ link กลับมาหาเรา (link building)  นั่นเอง ซึ่งมีทั้งการทำแบบที่ถูกต้อง ตามหลักคำแนะนำของ Search Engine 
(White Hat) และการอาศัยเทคนิคต่างๆที่ได้ผลเร็ว แต่ไม่ค่อยจะถูกหลักที่ Search Engine อยากให้เป็น (Black Hat)
มาช่วยจัดอันดับ  ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตรงส่วนของการหา back link นี้ถูกมองไปถึงการทำ Online Marketing ด้วย เพราะ
Online Marketing จะทำให้เราได้ backlink และ traffic มากขึ้น แต่จะดีขนาดไหนนั้นก็ต้องความชำนาญของคุณด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business)

ปัจจุบันยังมีความสับสนระหว่าง คำว่า E-Business กับ E-Commerce คำว่า E-Business ( เขียนอีกแบบก็คือ eBusiness ) นั้นย่อมาจากคำว่า Electronic Business หรือ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ความหมาย คือ กระบวนการหรือขั้นตอนใด ๆ 
       ในการดำเนินธุรกิจ (transaction) ที่อาศัยระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางธุรกิจ 
        E-Business นั้นมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างคุณค่าเพิ่ม (Added Value) ตลอดกระบวนการหรือกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process) และช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก และระหว่าง องค์กรด้วยกัน 
       ฉะนั้น E-Commerce จึงเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ E-Business ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็คือ เครื่องฝากเงินอัตโนมัติของธนาคาร (Cash Deposit Machine) ทุกวันนี้ เครื่องโอนเงินชนิดนี้ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องคอยต่อแถวฝากเงินเหมือนสมัยก่อนและยังช่วยธนาคารสามารถรับลูกค้ารายอื่น ๆไม่ใช่มาฝากเงินได้มากขึ้น หรือแม้แต่ E-Revenue ของ กรมสรรพากร ที่ช่วยพี่น้องประชาชนไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานของกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเหมือนก่อน เพียงเข้าไปที่เว็บไซด์ E-Revenue ของกรมสรรพากร ก็สามารถยื่นแบบฯได้แล้วและยังขอคืนเงินภาษีได้อีกด้วย ก็ถือว่าเป็น การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่นกัน 
ประโยชน์ที่ได้รับของการปฏิรูปธุรกิจแบบเก่ามาสู่ E-Business 
        •เพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า: ลูกค้ามีศักยภาพในการค้นสินค้าที่ต้องการ, รู้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาในการจัดจำหน่ายทันที, จำนวนสินค้า รู้สถานะภาพของสินค้าที่สั่งเช่น กำลังผลิตอยู่ กำลังส่งของ ระยะเวลาที่ลูกค้าที่รับของที่แน่นอน 
        •เพี่มความรวดเร็วและถูกต้องในการดำเนินงานธุรกิจ: การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเครือข่าย และเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถลดขั้นตอน 
        •เพิ่มความรวดเร็วและถูกต้องในการทำงานขององค์กร 
        •ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ: การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเครือข่าย และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารเช่นค่าแฟกซ์ และค่าโทรศัพท์ทางไกล,ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขการทำงานที่ผิดพลาดและซ้ำซ้อน, และลดค่าใช้จ่ายของสำนักงานเช่น กระดาษ จดหมาย เป็นต้น
        •เพิ่มช่องทางในการขยายตลาด: ระบบร้านค้า Online สามารถทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้ตลอด24 ชั่วโมง จากสถานที่ทั่วโลก (Anywhere anytime) 
        •เพิ่มความได้เปรียบกับคู่แข่งทางการค้า: รูปแบบการดำเนินงานธุรกิจแบบ อี-บิสเน็ต จะสามารถเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าและมีช่องทางในการเข้าหาลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าลูกค้าของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้การทำธุรกิจแบบ อี-บิสเน็ต สามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และถูกต้อง ในการทำงานขององค์กร จึงนับได้ว่า อี-บิสเน็ต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน 
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ E-Business 
BI = Business Intelligence
        การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน 
EC = E-Commerce
        เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต 
CRM = Customer Relationship Management
        การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า 
SCM = Supply Chain Management
        การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค 
ERP = Enterprise Resource Planning
        กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัด

ความหมายของ URL (Uniform Resource Locator)


URL ย่อมาจาก Uniform Resource Locator รหัสสืบค้นข้อมูลยูอาร์แอล, วิธีการเข้าไปใช้งานข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต URL เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเข้าใช้งานและเกี่ยวกับตัวทรัพยากรนั้นด้วย และยังเป็นตัวที่เว็บเบราเซอร์ (Web browsers) ใช้เพื่อให้ติดต่อโดยตรงกับเอกสารหรือข้อมูลที่ต้องการบน http://www.โดยไม่ต้องรู้ว่าแหล่งข้อมูลนั้นอยู่ที่ใด ตัวอย่าง URL เป็นดังนี้ http://www.google.com/search
ส่วนแรกของ URL ที่อยู่หน้า คือวิธีการใช้งาน ซึ่งบนเว็บมักใช้ http (hypertext transmission potocol) แต่อาจจะเห็นเป็นชื่อแฟ้ม ftp หรือ gopher แทนก็ได้
ส่วนที่สองอยู่หลัง คือแหล่งข้อมูลที่ต้องการ ข้อความที่อยู่ // มักเป็นชื่อตัวให้บริการ และข้อความต่อจาก / คือไดเรกทอรี หรือแฟ้มที่ต้องการ ถ้าติดต่อไปยังเอกสารจะต้องใส่นามสกุล .html ด้วย ซึ่งย่อมาจาก hypertext markup language
ต้องระมัดระวังขณะป้อนตัวอักษร และเครื่องหมายต่าง ๆ ด้วย เพราะตัวอักษรตัวเล็กและตัวใหญ่ใน URL เป็นคนละตัวกัน

การทำธุรกิจ Affiliate คืออะไร


ก่อนอื่น ขออธิบายความหมายของคำศัพท์เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันก่อน คำว่า Affiliate หมายถึงผูกพัน เข้าร่วม เป็นพี่น้องกัน หรือประกอบกิจการร่วมกัน แต่ในกรณีที่พูดถึงการค้าขายบนอินเตอร์เน็ตนั้น เราจะหมายถึง การสมัครเข้าร่วมธุรกิจหรือสมัครเป็นผู้ร่วมขาย ผู้ช่วยขาย หรือผุ้แทนขาย ซึ่งหากมีผู้ร่วมขายมากก็ยิ่งมีโอกาสขายสินค้านั้นๆออกไปได้มาก ในรายงานนี้จะเรียกธุรกิจประเภทที่เป็นผู้ร่วมจำหน่ายสินค้าว่า Affiliate Program หรือ Affiliate Marketing โดยใช้ภาษาไทยว่า ผู้ร่วมขาย

เมื่อดูจากพฤติกรรมการซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตในอเมริกาแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมมีธุรกิจประเภท Affiliate Marketing และมีผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์เป็น ผู้ร่วมขายค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเว็บไซต์และสินค้าใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ (Product) หรือแบรนด์ (Brand) ของสินค้าแล้ว เราจะต้องคำนึงถึงช่องทางในการโฆษณาด้วย เพราะนี่คือหนึ่งในหัวใจของการตลาดประเภท Affiliate Program ช่องทางในการทำโฆษณาที่ผู้ทำการตลาดออนไลน์ประเภทนี้นิยมได้แก่ Pay Per Click Program หรือที่เรามักเรียกกันว่า PPC ยกตัวอย่างเช่นบริการ Google AdWords หรือ Yahoo Search Marketing (Y!SM) เป็นต้น

การซื้อสินค้าใน Amazon นั้น ผู้ซื้อสามารถเข้าไปซื้อโดยการสมัครเป็นสมาชิก หรืออาจจะซื้อผ่านผู้ร่วมขาย
การซื้อผ่านผู้ร่วมขายนี่เอง ทำให้เกิดช่องทางในการสร้างรายได้ เพราะผู้ร่วมขายจะกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทในการขายสินค้าของ



Affiliate Amazon นั้นสามารถสมัครได้ที่ https://affiliate-program.amazon.com